Support
BNATHAI
082-201-9150
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2012-07-12 17:28:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคอ้วน - ความอ้วนเกิดจากอะไร

   1.เกิดจากสาเหตุภายนอก เป็นสาเหตุใหญ่ที่เกิดโรคอ้วน เพราะตามใจปากมากเกินไป กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่กิน เนื้อ ไขมัน หรือแป้ง ของหวาน สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายน้อย กินแล้วนอน

             นิสัยในการรับประทาน คนที่มีนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี เรียกว่า กินจุบกินจิบไม่เป็นเวลา

             ขาดการออกกำลังกาย ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ได้ออกกำลังกายบ้างก็อาจทำให้อ้วนช้าลง แต่หลายคนไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ไม่ช้าจะเกิดการสะสมเป็นไขมันในร่างกาย

2.มาจากสาเหตุภายใน พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อไทรอยด์ ทำให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง

              จิตใจและอารมณ์ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่การกินอาหารขึ้นอยู่กับจิตใจและอารมณ์ เช่น กินดับความโกรธ ดับความคับแค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจ หรือดีใจ บุคคลเหล่านี้ จะรู้สึกว่าอาหารที่ทำให้จิตใจสงบ จึงหันมายึดเอาอาหารไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ตรงกันขามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ

              ความไม่สมดุลระหว่างความรู้สึกอิ่มกับความหิว เมื่อใดที่ความอยากเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นการกินก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถึงขั้นเรียกว่า กินจุ ในที่สุดก็อ้วนเอาๆ

3.เพราะกรรมพันธุ์ ซึ่งพบได้น้อย กรรมพันธุ์นี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งสองคน ลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 80 ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 40

4.โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง

5.จากการกินยาบางชนิด ก็ส่งผลกระทบให้อ้วน ผู้ป่วยบางโรคได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ก็ทำให้อ้วนได้ และในผู้หญิงที่ฉีดยาหรือกินยาคุมกำเนิดก็ทำให้อ้วนง่ายเช่นกัน

6.เพศ เพศหญิงนั้นมักอ้วนกว่าเพศชาย ก็ธรรมชาติเธอมักสรรหาจะกิน กิน และกิน ตลอดเวลา อีกทั้งตอนตั้งครรภ์ ก็ต้องกินมากขึ้น เพื่อบำรุงร่างกายและลูกน้อยในครรภ์ แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายก็ลดน้ำหนักลงมาได้ แต่บางรายก็ลดไม่ได้ ผู้หญิงทำงานน้อย ออกกำลังน้อยกว่าชาย ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชาย 4 : 1

อายุ เมื่อมากขึ้น โอกาสโรคอ้วนถามหาก็ง่ายขึ้น เนื่องจากพออายุมาก มีความเชื่องช้า ใช้พลังงานน้อยลง กินมากกว่าใช้ หญิงและชายที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป มักจะอ้วนง่าย เพราะคนวัยนี้ ยังอยู่ในวัยทำงานมาก กินมากขึ้นเพื่อชดเชยกำลังงานที่ถูกใช้ไป คนมีสุขภาพจิตดีมักมีรูปร่างสมส่วนแข็งแรง บางคนสุขภาพจิตไม่ดี อารมณ์เครียดเป็นประจำ ทำให้เกิดความท้อถอย เบื่อหน่าย ขี้เกียจออกกำลัง โรคอ้วนก็จะถามหา

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

guest

Post : 2012-07-12 17:18:41.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เบาหวาน โรคคุ้นหูที่ไม่ธรรมดา

 

            โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมักจะพบได้หลายคนในครอบครัวเดียวกัน จนอาจมองได้ว่าโรคนี้อาจติดมาจากพันธุกรรมได้

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุขพบว่า ปัจจุบันคนที่วัย 35 ปีขึ้นไปป่วยเป็นเบาหวานมากถึง 2.4 ล้านคน และที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือผู้ที่เข้ารับการรักษากว่าครึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าป่วยเป็นเบาหวาน

ลองทำแบบทดสอบดูว่าคุณเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากน้อยเพียงใด โดยทำเครื่องหมาย ถูก ที่หน้าหัวข้อนั้นๆ หากตรงกับสภาพและอาการของตน...

 
คุณมีอายุมากกว่า 35 ปี  
มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคเบาหวาน
 
ชอบกินของหวานๆ มันๆ  
หิวบ่อย ทานจุ
 
ออกกำลังกายน้อย  
กระหายน้ำบ่อย
 
อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย  
ตาพร่า มองไม่ชัด
 
ความดันโลหิตสูง  
น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
 
ปวด แน่น จุกเสียดหน้าอก  
น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
 
ชาตามปลายมือปลายเท้า  
ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ

หากคุณตอบว่าใช่เป็นส่วนใหญ่แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องรีบบำบัดรักษาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เบาหวานคืออะไร

เบาหวานเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ หรือร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยกว่าปกติ จึงไม่สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตรวมถึงโปรตีนและไขมันบางส่วนได้อย่างเหมาะสม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น หัวใจวาย ตาบอด ไตวาย อัมพฤกษ์ อัมพาตและโรคติดเชื้อ เป็นต้น

เบาหวานจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

เบาหวานชนิดที่ 1 หรือเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ซึ่งเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ เบาหวานชนิดนี้ส่วนใหญ่จะพบในเด็กและวัยรุ่น ประมาณ 10% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 1

เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ซึ่งตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ส่วนใหญ่สร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ แต่ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยกว่าปกติ

ประมาณ 90% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

โรคแทรกซ้อนของเบาหวานมีอะไรบ้าง

 
ตา อาจเป็นต้นกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตาเสื่อม และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด
 
ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจะเป็นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลาย
 
เท้า ซึ่งมักจะทำให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่ายและอาจลุกลามจนเท้าเน่า กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือไม่มีแรงเบ่งปัสสาวะ กระเพาะอาหารไม่ทำงาน มีอาการจุกเสียด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ท้องเดิน โดยเฉพาะเช้ามือถึงก่อนเที่ยง ผู้ป่วยชายมักมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
 
ไต มักเกิดภาวะไตวาย มีอาการบวม ซีด ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานที่พบได้ค่อนข้างบ่อย
 
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ถ้าหลอดเลือดแดงที่เท้าแข็งและตีบ เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พออาจทำให้เท้าเย็น เป็นตะคริว ปวดขณะเดินมากๆ หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยากหรือนิ้วเท้าเป็นเนื้อตายเน่า
 
ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น วัณโรคปอด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ กลาก โรคเชื้อชา เป็นฝีหรือพุพองบ่อย นิ้วเท้าหรือช่องคลอดอักเสบ เป็นต้น
 
แผลที่เท้า เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมักมีภาวะปลายประสาทอักเสบ และภาวะขาดเลือดทำให้เท้าชาเกิดแผลได้ง่ายและหายยากหรือเป็นเนื้อตายเน่า บางครั้งจำเป็นต้องตัดนิ้วหรือตัดขา ทำให้เกิดภาวะพิการได้

ทำไมผู้ป่วยเบาหวานมักเสียชีวิตจากโรคหัวใจ

ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอายุที่น้อยกว่าและรุนแรงกว่า เนื่องจากระดับน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นทำให้ผนังหลอดเลือดแดง ทั้งรายการเกิดความผิดปกติและเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีโรคอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เป็นต้น

โรคเหล่านี้จะเร่งให้โครงสร้างและสภาพของหลอดเลือดเกิดความผิดปกติมากขึ้นและเร็วขึ้น หลอดเลือดหัวใจจึงเกิดการอักเสบ ทำให้คราบไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดมีการแตกออก ซึ่งจะทำให้เกิดลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือดหัวใจอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้ป่วยเบาหวาน       

อาการโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานจะแตกต่างจากผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไปอย่างไร            

สำหรับอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีพในผู้ป่วยเบาหวานอาการเจ็บหน้าอกมักจะไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลย เนื่องจากประสาทรับความรู้สึกในผู้ป่วยเบาหวานเสื่อมสภาพลง จึงมักจะมีแค่อาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แน่น จุกเสียดหน้าอกเหมือนอาหารไม่ยอม วิงเวียน ตัวเย็น เหงื่อออก ใจสั่นรู้สึกคล้ายจะเป็นลม อาการเหล่านี้อาจมีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกันและอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้

วิธีการบำบัดแบบองค์รวมของการแพทย์จีน

เป็นที่ทราบกันว่าโรคเบาหวานมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะพิการและมีอันตรายถึงชีวิต การบำบัดโรคเบาหวานของการแพทย์จีนจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังเน้นความสำคัญกับการรักษาต้นเหตุและโรคแทรกซ้อนของเบาหวานไปพร้อมๆ กัน ดังนี้

 
ทำความสะอาดและทะลวงหลอดเลือด สลายลิ่มเลือดและไขมัน ทำให้หลอดเลือดโล่งสะอาด ดังทฤษฎีการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีน ปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด จึงป้องกันและรักษาโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น โรคหลอดเลือด หัวใจตีบ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ปรับความสมดุลของร่างกายโดยเฉพาะความสมดุลของตับและตับอ่อน ทำให้มีการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลและอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม และเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลแล้วก็จะตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างปกติ จึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
บำรุงรักษาไตที่เสื่อมลงให้แข็งแรงขึ้น เนื่องจากไตเสื่อมทำให้เกิดโรคเบาหวาน แต่เมื่อเป็นโรคเบาหวานแล้วก็จะทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นจนเกิดภาวะไตวายซึ่งเป็นวัฏจักรที่เลวร้าย การบำรุงรักษาไตจึงมีบทบาทสำคัญในการบำบัดฟื้นฟูโรคเบาหวานด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะ พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เมื่อใช้วิธีบำบัดรักษาแบบองค์รวมควบคู่กับการปฎิบัติตัวอย่างถูกต้อง อาการต่างๆ ของเบาหวานจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด

 
       
    แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ - คม ชัด ลึก

guest

Post : 2012-07-12 17:11:58.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  มะเร็ง...ตัวร้าย

 

            มะเร็ง คือ เซลล์ทีเปลี่ยนสภาพไปเป็นเนื้อร้าย เติบโตและขยายตัวในหลอดเลือด และน้ำเหลือง กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งหากเป็นส่วนที่สำคัญ เช่น ปอด ตับ สมอง ก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วโดยมีสารเคมีที่เรียกว่า คาร์ซิโนเจน (Carcinogen) เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้โครโมโซมในนิวเคลียสของเซลล์ผิดปกติไปจนกลายเป็นมะเร็งที่มีการแบ่งตัวขยายออกไปเรื่อยๆ

อาการที่ส่อเค้า

 
1.
ก้อนเนื้อ ตุ่มบนหรือใต้ผิวหนัง เต้านม ริมฝีปาก อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย
 
2.
หูด ปาน ที่ผิดปกติ
 
3.
แผลเรื้อรัง
 
4.
ตกขาว โลหิต หรือเมือกผิดปกติที่ออกทางช่องคลอดมาก
 
5.
ไอ เสียงแหบ โดยที่ไม่ได้เป็นหวัด และหาสาเหตุไม่ได้
 
6.
เบื่ออาหาร ร่างกายผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว กลืนอาหารลำบาก เจ็บคอ
 
7.
ระบบการขับถ่ายผิดปกติเป็นเวลานาน

การบำบัดรักษา

  • ระยะเริ่มแรก แพทย์อาจใช้การผ่าตัด ฉายแสง ใส่แร่เรเดียมซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้กว่า 30 %
  • ระยะที่เป็นมานานแล้ว มักใช้สารเคมีเข้าบำบัด (Chemotherapy) บางรายต้องใช้การฉายแสงรังสี เพื่อประคองชีวิต

มะเร็งสามารถเกิดได้ที่อวัยวะใดบ้าง เซลล์ร้ายตัวนี้ สามารถเกิดได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบมากได้แก

  • มะเร็งเต้านม พบมากที่สุดอันดับหนึ่งของผู้หญิง สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม ฮอร์โมนที่ผิดปกติ ความอ้วน อาหารที่รับประทานมีไขมันสูง การลุกลามของมะเร็งจากอวัยวะอื่นมายังเต้านม ป้องกันได้ด้วยการตรวจเป็นประจำด้วยแพทย์หรือตนเอง
  • มะเร็งปากมดลูก เชื่อว่าเกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Viruses) การตรวจหามะเร็งชนิดนี้ควรตรวจหลังหมดประจำเดือน 1 สัปดาห์ และควรงดการมีพศสัมพันธ์ 24-48 ชั่วโมง ก่อนการตรวจ
  • มะเร็งผิวหนัง มักพบในผู้สูงอายุในวัย 40-50 ปีขึ้นไป ปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ได้แก่ แสงแดด หรือแสงอุลตร้าไวโอเลต บริเวณของผิวหนังจะเกิดความผิดปกติ เช่น ก้อนตุ่มเล็ก ที่เริ่มขยายวงกว้างออกไป หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นหากเป็นแผลที่ผิวหนัง และไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาให้หายขาด
  • มะเร็งปอด เกิดจากความสกปรกของอากาศ รังสี สารเคมีที่ปนเปื้อนในบรรยากาศ การสูบบุหรี่จัดเป็นเวลานาน แผลเรื้อรังในปอด สังเกตได้จากอาการไอเป็นระยะเวลานาน น้ำหนักลด เบื่ออาหาร เจ็บคอเจ็บหน้าอก เสียงแหบ หายใจลำบาก กลืนอาหารลำบาก เหล่านี้ล้วนส่ออาการเริ่มต้นของมะเร็งปอดทั้งสิ้น การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยการเอ๊กซเรย์ปอด และลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดได้ด้วยการงดสูบบุหรี่
  • มะเร็งช่องปาก เกิดได้กับกระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก เพดานปาก พื้นปาก และริมฝีปาก สาเหตุจากอวัยวะดังกล่าวมีสิ่งมาทำให้ระคายเคืองซ้ำ ๆ นาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในช่องปากเอง ฟันที่แหลมคม เหงือกอักเสบ หรืออาหารที่รับประทาน อาการที่สังเกตได้ เช่น มีแผลในช่องปากนานเกิน 3 สัปดาห์ มีฝ้าขาว ตุ่มนูน มีก้อนในช่องปาก และแตกเป็นแผล ลิ้นเป็นแผลเรื้อรัง เป็นต้น
  • มะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธ์ชาย ที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก ไต อวัยวะเพศชาย แต่ก็สามารถเกิดได้กับลูกอัณฑะ ถุงอัณฑะ ได้เช่นกัน อาการที่บ่งบอกความเสี่ยง คือ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด กระปิดประปรอย แผลเรื้อรังที่มีเลือดออกร่วมกับกลิ่นเหม็นของอวัยวะเพศชาย อาการคันหรือเม็ดตุ่มต่าง ๆ ก้อนที่คลำได้บริเวณสีข้าง ท้องน้อย
  • มะเร็งตับ ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน แต่ลุกลามขยายผลได้จากไวรัสตับอักเสบชนิดบี ในรายที่เป็นพาหะในระยะเริ่มต้นของมะเร็งชนิดนี้ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการจนกระทั่งก้อนมะเร็งเริ่มโตจนผู้ป่วยเริ่มอึดอัด ท้องบวม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด สามารถตรวจพบได้ด้วยการอุลตร้าซาวด์ (Ultrasound) ซึ่งจะพบได้ต่อเมื่อก้อนมีขนาดตั้งแต่ 1 ซม.ขึ้นไป

ข้อแนะนำป้องกันมะเร็ง

 
1.
  หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และอย่าลืมบอกสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การวินิจฉัยที่จะบ่งชี้การเกิดโรคได้ดียิ่งขึ้น
 
2.
  หากบุคคลในครอบครัวเคยเป็นมะเร็ง โอกาสเสี่ยงย่อมมากกว่าคนอื่น ดังนั้น ควรใส่ใจดูแลสุขภาพให้มาก หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เร่งการก่อมะเร็ง
 
3.
  เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี อี และเบต้าแคโรทีน พร้อมทั้งลดอาหารจำพวกหมัก ดองต่าง ๆ ลงด้วย
 
4.
  งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
 
5.
  กรณีที่น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ควรลดน้ำหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
 
6.
  หยุดสูบบุหรี่ ตัวการของโรคหลายชนิด
 
7.
  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
 
8.
  หลีกเลี่ยงแสงแดด ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแจ้ง ควรปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มีสาร SPF 25 ขึ้นไป
 
9.
  หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม
 
10.
  สังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดกับร่างกายหรือตุ่มเนื้อ สิว ไฝ ปาน ว่าลุกลาม ขยายขนาดอย่างต่อเนื่องหรือไม่
 

guest

Post : 2012-07-12 14:40:10.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

                ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ซุปเปอร์ฟรุตตัวแม่ เพราะนอกจากลักษณะผลที่มีความสวยงามน่ารับประทาน มีรสเปรี้ยวอมหวานสีสันสดใส แถมมีคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชลอความชรา สายตา และยังป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย มารู้สรรพคุณอันหลากหลายของผลไม้กลุ่มเบอร์รี่กันค่ะ

 

บลูเบอร์รี่

เบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในเมืองหนาว ที่มีผิวสีน้ำเงินเข้ม ที่อุดมไปด้วยกากใยอาหารสูงโดยเฉพาะเพคติน ที่ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง ที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ บำรุงร่างกายและระบบประสาทและความจำ

 

ราสเบอร์รี่

ราสเบอร์รี่นั้นถือว่าเป็นสุดยอดผลไม้ที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ต่างๆ จากแร่ธาตุและวิตามินนานัปการ อาทิ วิตามิน เอ และบี ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณสดใส โพแทสเซียม วิตามินเค และ ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด สารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยในการหมุนเวียนโลหิต และ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถลดความเสี่ยงการเป็นโรโรคมะเร็งบางชนิด และ อัลไซเมอร์หรือ ความจำเสื่อมได้อีกด้วย

แบล็คเบอร์รี่

แบล็คเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรูปร่างแปลกตา แต่ว่าประโยชน์ของแบล็คเบอร์รี่มีมากมายที่เราไม่รู้ นั่นก็คือ แบล็คเบอร์รี่สดเป็นแหล่งที่มีกรดฟีโนลิก วิตามินซี และโฟเลตสูงสุด ช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้ ทำให้ผิวหนังเราไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร แบล็คเบอร์รี่มีสารเคมีชนิดหนึ่งเรียกว่า “ซาลิไซเลต” ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจ

สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่ถือเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง รวมไปถึงวิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแคลเซียม สำหรับวิตามินซีและวิตามินเอนั้นเป็นสารสำคัญที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตา สตรอเบอร์รี่จึงเป็นผลไม้ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าผล ไม้อื่นๆ อย่างส้ม องุ่นแดง กีวี กล้วยหอม และมะเขือเทศนอกจากนั้นก็ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานของสมอง ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย โรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคภูมิแพ้ เป็นต้น และผลสตรอเบอร์รี่ยังอุดมด้วยไฟเบอร์เพคติน ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง อีกทั้งวิตามินซีและธาตุเหล็กในสตรอเบอร์รี่ก็ยังมีประโยชน์ต่อระบบเลือดและ หัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วย

 

รู้สรรพคุณของผลไม้ที่มากด้วยคุณประโยชน์ของทั้งแอปเปิ้ลและเหล่าเบอรี่กันไปแล้วคุณสาวๆก็ อย่าลืมลองมองหาผลไม้ซุปเปอร์ฟรุ๊ตทั้งสองมาเต็มพลังความสดชื่น สดใสให้ตัวเองนะคะ หรือถ้าไม่มีเวลา หรือ ไม่สะดวกลองมองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆตามท้องตลาดมากมายที่มีคุณประโยชน์มาทดแทนนะคะ อาทิ น้ำผลไม้ หรือจะเป็นไอศกรีมรสผลไม้ปราศจากไขมัน นอกจากอร่อยสดชื่นมีประโยชน์แถมคงรสชาติของผลไม้สดๆให้คุณสาวๆได้ลิ้มลองความอร่อยได้อีกด้วย คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณสาวๆกันแล้วหล่ะว่า พร้อมที่จะสวยหุ่นดี หรือคงความเป็นสาวให้อมตะไปตลอดกาลแล้วหรือยัง มีประโยชน์มากมายขนาดนี้ สาวๆทั้งหลายคงพร้อมมาเป็นสาวกแอปเปิ้ล และ เบอร์รี่ กันแล้วสินะคะ…

 

สนุบสนุนข้อมูล โดยวอลล์ ฟรุตทาเร่

guest

Post : 2012-07-12 14:23:31.0     Forum: สอบถาม  >  ปรึกษาได้คัฟ ก่อนตัดสอนใจ

อาหารเสริมของเราทุก มี อย มีการรับรองจากเเพทย์ เเละถ้าใช้เเล้วไม่เห็นเรายินดีคืนเงิน

1